25/02/2558

ภูต ผี ปีศาจของไทย┊ผีกละ ความอึดอัดของแม่บ้าน

ผีกละ

เกิดจากการอ่อนเพลีย หยุดพักการเดินทาง ในโรงแรมร้างร้าง อยู่กลางเมืองเชียงใหม่ ... เมืองที่คนกล่าวขาน มีความหวานไว้ขาย มีทุเรียนลำใย มีนางไม้ผีเมือง เมืองที่มีผีแมว ... เป็นแมวมาให้ใจใส่หู ไล่หนีก็วิ่งมาหา อย่ามากวนจะนอนอ้อละอา แมวสบตาแยกเขี้ยวเหมือนคน ... แง้วววว ... หง่าวววว ... แง่ง ๆ

ที่เกริ่นมาไม่ใช่ประสบการณ์ส่วนตัวของผมหรอกครับ แต่เป็นเนื้อเพลง "ผีแมว" ของพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ด้วยท่วงทำนองที่โหยหวน บวกกับเรื่องเล่าที่ว่าแต่งจากเรื่องจริง ทำให้เพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงเกี่ยวกับผีที่น่ากลัวที่สุดเมื่อ 20 ปีมาแล้ว

จำได้ว่าตอนฟังครั้งแรก ทั้งหลอน ทั้งชอบ แต่ถ้าอยู่คนเดียวตอนดึก ๆ ก็ไม่ค่อยอยากได้ยินสักเท่าไหร่ (-_-")  ตอนแรกผมคิดว่าเพลงนี้แต่งจากประสบการณ์ทางวิญญาณ ตามแบบผีสมัยใหม่ (ผีที่เป็นตัวบุคคล เป็นวิญญาณของใครสักคน ... นายคนนั้น, นางคนนี้ ฯลฯ) ทั่วไป  แต่หลังจากอ่านเรื่องผีมาหลายเรื่องแล้ว ก็คิดว่า ผีแมวที่คุณพงษ์เทพเจอน่าจะเป็นผีโบราณชนิดหนึ่ง ซึ่งก็คือ "ผีกละ"

ผีกละมีหลายชื่อเรียก ผีกละ, ผีกะ, ผีจกละ  คำอธิบายลักษณะ ที่มา แตกต่างกันนิดหน่อย รวมๆ เป็นผีที่ชอบเข้าสิงคน ต้องโดนเฆียนถึงจะยอมออก คล้ายกับ ผีปอบ เพียงแต่ผีกละเป็นผีของทางล้านนา

บางท้องถิ่นผีกละติดมากับของมีค่า เงินทอง หรือเครื่องประดับ ที่ได้มาโดยมิชอบ เช่น ลักมา ขโมยมา หรือเป็นของโจร

ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือบอกว่า ผีกละเป็นผีในตระกูลผีเมง เป็นผีที่สืบสกุลทางฝ่ายหญิง (จากแม่สู่ลูกสาวคนเล็ก) ถ่ายทอดกันผ่านน้ำลาย คล้าย ๆ กับกระสือหรือปอบ  ถ้าครอบครัวนั้นไม่มีลูกสาวหรือลูกสาวไม่อยากเป็นผีกละ หนีไป กรรมนี้ก็จะตกไปอยู่กับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ แมว

ผีเมง น่าจะเป็นความเชื่อที่มาจาก ชาวมอญ (เม็ง) เป็นผีบรรพบุรุษ ผีเรือนแบบหนึ่ง ถูกเลี้ยงไว้ให้คุ้มครองบ้านเรือน หรือให้โชค ทุกสามปีจะต้องมีการจัดงานเลี้ยงผีเป็นพิเศษ มีการฟ้อน เพื่อให้ผีมีความสุขสำราญใจ  ถ้าไม่ทำผีจะโกรธทำร้ายคนในบ้าน หรือผีเรือนก็จะกลายเป็นผีกละเที่ยวออกไปอาละวาด สิงร่างคนอื่นในหมู่บ้าน

ภาวะผีเข้า หรือผีกละเข้าสิงนั้น มักจะเกี่ยวกับอาหารการกิน คนที่ถูกสิงจะร้องขอกินนี่กินนั่นอยู่เสมอ ชื่อผีกละน่าจะมีที่มาจากคำว่า "ตะกละ" นั่นเอง  อาหารยอดฮิตที่ผีจะร้องขอกินก็คือ อาหารในโอกาสพิเศษ อาหารงานบุญงานเลี้ยง เช่น ลาบ, ยำชิ้นไก่, แกงอ่อม หรือเหล้าเป็นต้น

ผู้ที่ถูกผีเข้าสิงส่วนใหญ่เป็นหญิง และเป็นวัยกลางคนมากว่าวัยรุ่น อายุประมาณ 25-50 ปี จะมีสามี หรือไม่ หรือเป็นหม้าย ผู้หญิงในวัยนี้มักจะต้องทำหน้าที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนในครอบครัวแทบทุกบ้าน ... ตามธรรมเนียมไทยโบราณ ถึงแม่บ้านจะเป็นคนดูแลเรื่องอาหาร แต่ก็มักจะต้องกินเป็นคนสุดท้าย เวลามีแขกมาบ้าน (ซึ่งมักจะเป็นแขกผัว) ก็จะมาเสนอหน้านั่งเจี๋ยมเจี้ยมร่วมวงกินด้วยก็ดูไม่ดี ต้องรอให้แขกอิ่มก่อนแล้วค่อยกินกับลูก ถึงแม้จะไม่มีแขก ด้วยความที่เป็นแม่ ถ้าในสำรับวันนั้นมีเนื้อ มีปลา ก็ต้องแบ่งกันไว้ให้ลูกกินก่อน ส่วนตัวเองก็มักจะได้กินแต่น้ำพริกกับผักเสมอ

ตรงนี้น่าจะเป็นสาเหตุให้ผีกละร้องกินแต่ของดี กินเนื้อ กินลาบ ... ไม่มีผีตนไหนจะขอกินของพื้น ๆ อย่างน้ำพริกผักลวกเลย ซักตน

เมื่อผีร้องขอกินจนเห็นชัดแล้วว่า (ป้าแก) โดนผีเข้าแน่แล้ว  คนที่โดนผีเข้าจะถูกจับมัดมือไพล่หลัง หรือมัดติดกับเสาเรือนไว้ แล้วจะตามพ่อหมอ (ซึ่งมักจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน) มาทำพิธีไล่ผี กรรมวิธีการไล่ผีก็แตกต่างกันไปตามท้องถิ่น มีทั้งใช้ว่าน ใช้ของขลังกำกับคาถา แต่การไล่ผีท่ามาตรฐานคือการ "เฆี่ยน" ระหว่างเฆี่ยนไปก็ซักถามไปว่า "มึงเป็นผีตัวใด? มาจากไหน?" ส่วนผีก็มักจะต่อรองขอกินก่อนแล้วค่อยบอก บางหมอก็ยอม บางหมอก็ไม่ยอม แต่ก็จบลงด้วยการเฆี่ยนจนผีทนไม่ไหว มันก็ยอมออก  ก่อนออกผีกละก็จะบอกชื่อเจ้าของของมัน (คนที่ดูแลมันไม่ดีหรือทำอะไรไม่ดีไม่งาม) ออกมา  คนที่ถูกผีกละประจาน ก็จะถูกสังคมรังเกียจ ชาวบ้านต่อต้านประนาม จนสุดท้ายก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป

ในแง่หนึ่ง ผมคิดว่าความเชื่อเรื่องผีกละเป็นช่องทางระบายความอึดอัดของเพศหญิง ในสังคมที่ผู้หญิงทำงานหนักแต่ไม่ค่อยได้รับดูแล ไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียง เห็นอะไรไม่ดีไม่งามมา บอกใครแบบธรรมดาก็ไม่ได้ ต้องผีเข้าก่อนถึงจะมีคนฟัง

อีกแง่หนึ่ง พิธีไล่ผีกละก็คล้ายกับการร้องทุกข์ ยื่นฎีกาในสมัยโบราณมาก ๆ มีการสอบสวนโดยผู้นำชุมชน (นายบ้าน เจ้าเมือง) จะกล่าวหาใครก็จะต้องถูกเฆี่ยนเสียก่อน

แน่หละว่าการใช้ผีกละกล่าวหากันมันดูไม่ค่อยยุติธรรมและน่าเชื่อถือในสายตาของคนในยุคปัจจุบัน แต่ต้องอย่าลืมว่า สมัยก่อนความเป็นอยู่ของคนเรามันยากลำบากกว่าสมัยนี้เยอะ ชุมชนต้องการแรงงานและความร่วมแรงร่วมใจ พึ่งพาอาศัยกัน  คนที่อยู่อย่างเก็บตัว ตัวใครตัวมัน หรือไม่เคารพผีซึ่งหมายถึงบรรพบุรุษ ความเชื่อและวิถีปฏิบัติของชุมชน ย่อมไม่เป็นที่ต้องการ

จะว่าไป ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า การกล่าวหากันแบบผีกละ เป็นความจำเป็นทางกายภาพ ทางสังคม หรือที่จริงแล้วมันสิงอยู่ในด้านมืดในจิตใจเราจริง ๆ ... เพราะ อย่าว่าแต่สมัยก่อนเลย สมัยนี้ สมัยที่ทรัพยากรไม่ได้ขาดแคลนแล้วคนเราอยู่กันอย่างตัวใครตัวมันมากขึ้น ... แต่แค่เปิดทีวีดู เราก็ยังเห็นคนทำตัวประหลาด ๆ คล้ายโดนผีเข้า ตะโกนไล่คนนู้น คนนี้ เป็นประจำ ;)
ของแถม เป็น sketch ผีกละแบบแรกที่ผมวาดไว้ในมือถือนะครับ
Share: