29/10/2557

ภูต ผี ปีศาจของไทย┊พรายน้ำที่ป้อมพระจันทร์

พรายน้ำที่ป้อมพระจันทร์

เมื่อพูดถึง "พราย" เราก็มักจะนึกถึง ผี วิญญาณร้ายที่อยู่ในน้ำ ที่คอยทำให้คน (โดยเฉพาะเด็ก ๆ ) จมน้ำหรือลักพาตัวไปกับสายน้ำ  ตรงไหนน้ำลึก เป็นวังน้ำวน กระแสน้ำแปรปรวนรุนแรง มีคนจมน้ำบ่อย ก็มักจะมีเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับพรายน้ำเสมอ

แต่ก็น่าแปลก เพราะพรายน่าจะเป็นผีโบราณ  มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพรายน้ำมากมาย แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าพรายน้ำนี่มันหน้าตายังไงกันแน่  ไม่เหมือน ผีกระสือ, กระหัง, นางตานี ... หรือผีในความเชื่อโบราณอีกหลายตัว ที่เอ่ยแค่ชื่อ ทุกคนก็บรรยายให้เห็นภาพเดียวกันได้เป๊ะ ๆ

ที่อธิบายลักษณะของพรายน้ำไว้มากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องราวทางเหนือ  ชาวล้านนาเรียกพรายหรือผีน้ำ ว่า เงือก, ผีเงือก มีลักษณะเป็นงูใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นงูน้ำ  แต่ก็มีบางตำนานที่แปลกออกไป คือแทนที่เงือกจะหมายถึงงู แต่กลับกลายเป็น "จระเข้" ไปซะงั้น  ซึ่งน่าจะมาจากอิทธิพลของพวกไทใหญ่  (พระยาอนุมานราชธน เขียนถึงเงือกและนาคในเรื่อง "เมืองสวรรค์ ผีสาง เทวดา" ว่าในภาษาไทใหญ่ เงือกหมายถึงจระเข้)

ส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่า 'เงือก' ในวรรณกรรมล้านนาก็คือ 'นาค' ... แต่จะว่าไป "เหมือนจระเข้" ก็เป็นการอธิบายลักษณะของพรายน้ำได้ดีเหมือนกัน เห็นภาพพจน์ชัดเจนเลยทีเดียว

ในกรุงเทพฯก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับจระเข้ที่กลายเป็นพรายน้ำอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องนี้เกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 ช่วงกลางๆ ในปีพ.ศ. 2442 (รศ.118) และก็เกิดขึ้นกลางพระนครนี่แหละครับ ที่ป้อมพระจันทร์ (ปัจจุบันป้อมถูกรื้อไปแล้ว กลายเป็นท่าพระจันทร์แทน)

ท่าพระจันทร์ในปัจจุบัน

เรื่องเริ่มจากมีคนหายในละแวกป้อมพระจันทร์ คนแรกคือ เจ๊กซ้ง พ่อค้าของชำบริเวณนั้น หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ระหว่างจัดเตรียมขนของจากเรือสินค้าขึ้นมาไว้ที่แพของแก ตอนช่วงค่ำ ๆ ครอบครัวและเจ้าหน้าที่พยายามค้นหาอย่างไรก็ไม่พบ พบแต่เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของแกลอยไปติดโป๊ะที่ท่าเตียน

ยังไม่ทันที่เรื่องของเจ๊กซ้งจะคลี่คลาย ก็เกิดขึ้นอีกคดี คราวนี้เป็นสาวสวยชื่อ อำแดงสอน หายตัวไปที่ท่าน้ำช่วงเวลาเดียวกันกับเจ๊กซ้ง และที่คล้ายกันอีกคือไม่พบร่องรอยอะไร ไม่มีเสียงร้อง, ไม่พบผู้ต้องสงสัย (ว่าลักพาตัว), ไม่พบศพ ... พบแต่ผ้าถุงขาดวิ่นลอยมาติดกอสวะเท่านั้น

พอเกิดเรื่องติดๆ กัน หนังสือพิมพ์ในสมัยนั้น (บางกอกรีดเดอร์ และอีกสองสามฉบับ) ก็ยิ่งเล่นข่าว ประโคมข่าวประมาณเรื่องเล่าเช้านี้ อยู่นานหลายวัน ... ตัวอย่าง เช่น

... วานนี้ ข่าวลือที่คนหลังป้อมพระจันทร์ ต่างถกเถียงกันหนาหู ถึงเรื่องผีพรายที่เป็นข่าวใหญ่โต โด่งดังไปทั่ว ผู้คนละแวกป้อมพระจันทร์เรื่อยไปจนจรดวังริมป้อมพระสุเมรุ ต่างก็หวาดหวั่นกันไปหมด...

แม่ค้าขายเร่ร้านรวง ปิดร้านเสียแต่ย่ำค่ำ หามีคนเดินไปไหนมาไหนไม่ เพราะผู้คนต่างก็ลือกันถึงเรื่องผีพราย จะออกมาลักตัวไป ...ฯลฯ

จากข่าวในหนังสือพิมพ์ก็เลยกลายเป็นข่าวลือ ... ยิ่งลือก็ยิ่งดัง ... ข่าวยิ่งดัง คนก็ยิ่งลือ ... บ้างว่า มีดวงตาสีแดงลอยอยู่เหนือน้ำ คอยจ้องจับคนข้ามฝากที่เคราะห์ร้ายไป ... บ้างว่า ได้ยินเสียงเหมือนตัวอะไรใหญ่ ๆ กระโจนลงน้ำไป ... บ้างก็ว่า เห็นซากหมาแมวที่หายไป ลอยมาติดใต้สะพานริมท่าน้ำหลายครั้งแล้ว ... ยิ่งลือ ก็ยิ่งกลัว ไม่เป็นอันทำมาหากิน  สุดท้ายถึงกับมีคนเอาเครื่องเซ่นไหว้ มาวางไว้ริมตลิ่งท่าน้ำกันเลยทีเดียว

บรรยากาศอึมครึมนี้คลี่คลายลงได้เพราะ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ อธิบดีกรมพระนครบาล (ประมาณ รมว.มหาดไทยสมัยนี้) ท่านทรงให้พลลาดตระเวนมาซุ่มจับผี (?) ที่บริเวณที่วางเครื่องเซ่นริมน้ำ ... พอถึงเวลาค่ำก็ปรากฏว่า ที่จริงแล้วเจ้าผีพรายที่ชาวบ้านกลัวกันนักกันหนาก็คือ จระเข้ใหญ่ตัวหนึ่งขึ้นมากินเครื่องเซ่นนั่นเอง ไม่ใช่ผีร้ายอะไรที่ไหน  เมื่อจับได้แล้วก็เอามาล่ามโซ่ไว้ให้ประชาชนดู เพื่อเป็นการสยบข่าวลือ ... เป็นอันจบ

ผมว่าเรื่องนี้น่าตื่นเต้นดี ... ตื่นเต้นตรงที่ได้รู้ว่าเมื่อก่อน เคยมีจระเข้อาศัยอยู่กลางกรุง ในแม่น้ำเจ้าพระยา ... ไม่น่าเชื่อว่าเวลาผ่านไปแค่ 3-4 ชั่วคน ท่าพระจันทร์เปลี่ยนไปมาก สมัยนี้ อย่าว่าแต่จะหาพรายน้ำฤทธิ์มากอย่างจระเข้เลย แค่พรายน้ำกระจิ๊บกระจ้อยอย่างปลาสวาย ... ผมยังเห็นอ้าปากหอบพะงาบ ๆ อยู่เลย
ป้อมพระสุเมรุ ตรงปากคลองบางลำพู ผมเอามาเป็นแบบวาดรูปแทนป้อมพระจันทร์ (ในสมัยรัชการที่ 2 แถวนี้ก็เคยมีจระเข้เหมือนกัน)