25/08/2557

ภูต ผี ปีศาจของไทย┊มือเทวดาที่บางปะอิน

จริง ๆ แล้วเรื่องผีนี่ก็แปลก คนที่เจอ ก็มักจะเจอประจำ ส่วนบางคนถึงแม้จะอยากเจอแค่ไหน เที่ยวเสาะแสวงหา ตามล่า ยังไง ก็ไม่เห็น  ส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าการที่คนเราจะเห็นผีหรือมีประสบการณ์เกี่ยวกับวิญญาณ นั้น เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่มีที่มาที่ไป ไม่รู้ล่วงหน้า เหมือนกับการเกิดอุบัติเหตุ  

แต่ก็มีบางคนที่มีความสามารถติดต่อกับวิญญาณได้ สามารถเชิญวิญญาณหรือเทวดามาปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนได้  ส่วนมากจะเป็นพวกบรรดาพระเกจิอาจารย์ หรือผู้ที่ฝึกกัมมัฏฐานมาอย่างชำนาญแล้ว หนึ่งในนั้นเป็นถึงโอรสของกษัตริย์ คือ "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจันทรทัตจุฑาธาร กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา" พระองค์เป็นผู้นิพนธ์หนังสือเกี่ยวกับวิญญาณและสิ่งเร้นลับ ชื่อ "เพชรในหิน" และเรื่องเกี่ยวกับศาสนาอีกหลายเรื่อง  กิตติศัพท์ความสามารถของพระองค์เป็นที่เล่าลือกันมากในแวดวงเจ้านายในวัง ว่ากันว่า พระองค์อาจเชิญเทวดามาปรากฏตัวได้ พูดคุยได้ด้วย

พลูหลวง (ประยูร อุลุชาฎะ) ได้เล่าเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ "รหัสวิทยา พลังเร้นลับ" ว่า

--- คราวหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใคร่จะทอดพระเนตรเทวดา จึงให้กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชาทำพิธิติดต่อกับเทวดาภายในพระราชวังบางปะอิน เรียกเทวดามาให้ปรากฏในห้องท้องพระโรง ท่ามกลางบรรยากาศอันขลังและมืด พระเจ้าแผ่นดินและเจ้านายหลายพระองค์ที่ร่วมอยู่ด้วยก็ได้เห็นมือของเทวดาขนาดใหญ่ยื่นลงมาจากเพดานท้องพระโรง เป็นมืออันสวยประดับด้วยอัญมณีแพรวพรายและมีเสียงอันก้องท้องพระโรง เป็นเสียงเทวดาโดยไม่อาจกำหนดได้ว่ามุมใด หรือ ณ ที่ใดในท้องพระโรง ---

ฟังดูเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและอัศจรรย์มากๆ ... ผมมีโอกาสไปเที่ยวพระราชวังบางปะอิน พอเข้าไปในห้องท้องพระโรงพระที่นั่งวโรภาษพิมาน ก็อดไม่ได้ที่จะแหงนหน้าขึ้นมองเพดาน (หวังว่าอาจจะเจอร่องรอยอะไรบ้าง) ภาพที่ได้เห็นคือโคมไฟระย้า (แชนเดอเลียร์) ทำด้วยแก้วคริสตัลขนาดใหญ่ ห้อยอยู่กลางห้อง ส่องแสงระยิบระยับสวยงามมาก จินตนาการถึงภาพมือของเทวดาได้ไม่ยาก

โคมระย้าที่ผมเห็นนี้น่าจะเป็นของเก่าสมัยรัชกาลที่ 5 และคงถูกนำมาติดตั้งช่วงที่ดัดแปลงพระที่นั่งรื้อองค์เดิมจากสองชั้นเป็นชั้นเดียว ในปีพุทธศักราช 2428 (ประเทศไทยมีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2427)

ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องอัญเชิญเทวดาที่บางปะอินนี้ จะเป็นเรื่องเล่าที่สะท้อนช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้นของการมีไฟฟ้าใช้ช่วงแรกๆ ในเมืองไทย หรือเป็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จริงๆ แต่เรื่องนี้ก็สะท้อนความเชื่อเรื่องวิญญาณที่ดำรงค์อยู่ในสังคมไทย ... เรื่อยมา
(ของแถม) โคมระย้ารูปมือ ฝีมือลูกสาวครับ ^_^

07/08/2557

โรงอาหารที่เป็นเหมือนโอเอซิสในห้างฯ

เคยไปหาอะไรกินในห้างฯแล้วหงุดหงิดบ้างมั้ยครับ ... ที่เป็นร้านดัง ๆ ก็คิวยาวรอนาน ... ดูในเมนูรู้สึกว่าราคา OK พอกินให้อร่อยได้ แต่พอเช็คบิลบวกค่าเซอร์วิสชาร์จก็กลายเป็นไม่อิ่มซะงั้น ... ใน Food Court ก็หาที่นั่งยาก ยังไม่ได้เก็บจานเช็ดโต๊ะบ้าง โดนมนุษย์ป้าแย่งที่นั่งบ้าง ถึงต้องใช้ความอดทนเข้าแลก แต่อาหารที่ได้ราคาก็ไม่ได้ถูกกว่าตามร้านเท่าไหร่นัก ไม่คุ้มทั้งคุณภาพและปริมาณ ถ้าไม่ตั้งสติดี ๆ เผลอสั่งอะไรแปลก ๆ อาจโดนฟันหัวแบะได้

ถ้าใครเคยมีอารมณ์นั้น ผมอยากจะแนะนำสถานที่ผ่อนคลายให้ที่หนึ่ง ที่ที่เหมือนเมืองลับแล คือไม่ค่อยมีใครรู้ หรือถึงรู้ก็มักจะไม่กล้าเข้าไป แต่รับรองว่าที่นี่จะช่วยปลอบประโลมจิตใจที่อ่อนล้าจากความรู้สึกถูกเอาเปรียบได้ ไม่มากก็น้อย

ข้าวราด กับสองอย่าง 25 บาท
ขนมถ้วยละ 10 บาท

สถานที่ที่ว่านั่นคือ โรงอาหารของพนักงานห้างฯ หรือ Canteen ครับ  เป็นสวัสดิการของทางห้างฯ ที่จัดพื้นที่ให้คนมาขายอาหารโดยเก็บค่าเช่าราคาถูก หรือไม่เก็บเลย เพื่อให้พนักงานและผู้เช่าได้มีที่กินอาหารราคาประหยัด  Canteen ตามห้างฯส่วนใหญ่จะอยู่ตามซอก ๆ ลานจอดรถ บางที่ต้องแลกบัตร แต่ส่วนใหญ่สามารถตีเนียนแฝงตัวเข้าไปกินได้ง่าย ๆ

ที่แรกที่ผมเคยไปกินก็เป็นที่มาบุญครอง อยู่ตรงซอยเล็ก ๆ ที่ติดกับสนามศุภฯตอนนั้นผมยังเป็นเด็กปวช. ยังไม่รู้ถึงความแตกต่างเท่าไหร่  ต่อมาตอนเรียนมหาลัยก็มีโอกาสรับจ๊อบวาดรูปที่เซ็นทรัลลาดพร้าว พี่ที่รับงานมาให้เขาพาไปกิน และตอนนั้นแหละ ด้วยบรรยากาศที่คึกคัก ปริมาณอาหารและรสชาติทำให้ผมประทับใจสุด ๆ  หลังจากนั้น เวลาเดินห้างฯก็มักจะสอดส่ายสายตาหา Canteen เผื่อไว้เสมอ ๆ

ล่าสุด ด้วยต้องพาลูกสาวไปเรียนเปียโนที่เซ็นทรัลบางนาทุกอาทิตย์ เลิกเรียนก็เป็นเวลาอาหารเที่ยงพอดี กินมาหมดแล้วทุกที่ ทั้งร้าน ทั้ง Food Court ... เบื่อ ๆ อยาก ๆ หมดมุข ก็ตัดสินใจพาลูกไปกินดู ... ถือว่าแก้เบื่อได้ดีเลยหละครับ ส่วนใหญ่เป็นข้าวแกงแต่ก็ดูดีกว่าใน Food Court ซะอีก มีน้ำฟรี มีที่เก็บจาน โต๊ะก็นั่งสบาย คนขายก็ยิ้มแย้มดูเป็นเจ้าของร้าน และที่ชอบที่สุดคือ คนที่มากินที่นี่ส่วนใหญ่ดูผ่อนคลาย เอื้อเฟื้อ มีน้ำใจ

อิ่มแล้ว ได้พลังบวกพอแล้ว ... แต่คิดมาคิดไปก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมใน Food Court โต๊ะถึงนั่งไม่สบาย  ไม่มีน้ำเปล่าให้กินฟรี  ไม่มีที่เก็บจาน ... ทั้งทั้งที่ทั้งหมดจะลดต้นทุน อาจทำให้เราได้กินอาหารในราคาถูกขึ้น และที่สำคัญ มันช่วยทำให้เรารู้สึกถึงคนอื่น ๆ รอบข้างที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมได้ จะได้ไม่รู้สึกแห้งแล้งเกินไปนัก... ก็ได้แค่คิด