28/04/2557

สุโขไกด์┊5┊ศรีสัชนาลัย เมืองโบราณในอุดมคติ

คืนแรกที่สุโขทัยผ่านไปด้วยดี อาจเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง ผมนอนหลับสนิทและตื่นเช้ามาอย่างสดชื่น มีแรงพร้อมจะเที่ยวต่อ ... เช้านี้ ตามแผน คือ เราจะไปเที่ยวศรีสัชนาลัยกัน

หลังจากจัดการกับบุฟเฟต์เช้าของเกสเฮ้าส์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่อำเภอศรีสัชนาลัย  ผมใช้ทางหลวงหมายเลข 1113 ซึ่ง เชื่อว่าเป็นแนวเดียวกับ "ถนนพระร่วง" ในสมัยสุโขทัย  ผมไม่แน่ใจว่าเมื่อ 700 ปีที่แล้วทางเส้นนี้จะเป็นอย่างไร แต่เท่าที่ดูทิวทัศน์ข้างทางก็ยังสวยงามไม่ต่างจากสมัยที่ผมมาทัศนศึกษาเมื่อ 20 ปีที่แล้วเท่าไหร่นัก ถนนเส้นนี้ยังเป็นถนนสายรอง เล็ก ๆ ตรง ๆ ข้างทางมีแต่ทุ่งนา ... ตอนนี้ช่วงปลายหน้าฝน ทุ่งนาก็เขียวกว่าเมื่อก่อนหน่อย และที่มีเพิ่มขึ้นมาก็เป็นแปลงผัก

ทิวทัศนข้างทางหลวงหมายเลข 1113
แปลงผัก
เห็นแปลงผัก ก็นึกถึงเรื่องของ มะกะโท หนุ่มมอญลูกเขยพระร่วง ที่สร้างเนื้อสร้างตัวจากการปลูกผักกาดหนึ่งนึ้วจิ้ม (เอานิ้วจุ่มน้ำลายแล้วเอาไปจิ้มในกระบุงเมล็ดผักกาด จนได้เมล็ดติดมา) เก่งกล้า ขยันขันแข็ง ใช้ความสามารถเขยิบฐานะจนสุดท้ายก็ได้เป็นถึงกษัตริย์มอญ  ... สมัยนี้ คนแถวนี้ก็คงเร่งสร้างเนื้อสร้างตัวเหมือนกัน เพราะเห็นแปลงผัก เยอะแยะ กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ...  

--- ขับรถเกือบชั่วโมงก็มาถึงศรีสัชนาลัย  ที่นี่มีเมืองโบราณซ้อนกันอยู่ 2 เมือง เมืองที่เก่ากว่า อยู่ตรงคุ้งน้ำรูปร่างประหลาด แคบๆ ยาวๆ บริเวณ "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ" คือ "เมืองเชลียง" ต่อมา เนื่องจากความคับแคบและอาจประสบปัญหาน้ำท่วม (บ่อย?) เลยมีการย้ายศูนย์กลางของเมืองกระเถิบมาทางตะวันตก สร้างเป็นเมืองใหม่ชื่อ "ศรีสัชนาลัย" ---

ในความเห็นของผม สถานที่ตั้งเมืองศรีสัชนาลัยเป็น ชัยภูมิในอุดมคติสำหรับตั้งเมืองโบราณเลยแหละครับ  มีแม่น้ำใหญ่ (แม่น้ำยม) โอบล้อมเป็นคุ้งหล่อเลี้ยงที่ราบเชิงเขา เหมาะสำหรับทำการเพาะปลูก  ด้านหน้าเมืองมีแก่งใหญ่ชื่อว่า "แก่งหลวง" ทำให้บรรดาผู้คนที่สัญจรทางน้ำจำเป็นต้องหยุดพักขึ้นบก ตัวแก่งเองก็เป็นแหล่งอาหารสำคัญ ในฤดูน้ำหลากจะมีปลามาชุมนุมกันที่แก่ง จับได้ง่าย  กลางเมืองมีภูเขาขนาดย่อมๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาด้านตะวันตก คือ "เขาพนมเพลิง" กับ "เขาสุวรรณคีรี" เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง แล้วยังใช้เป็นป้อมปราการรับศึกได้ดี เพราะบนยอดเขาสามารถมองเห็นเมืองได้รอบ

ภายในกำแพงเมืองมีโบราณสถานหลายแห่ง อยู่ไม่ไกลกันนัก สามารถใช้จักรยานหรือจะเดินก็ยังได้ เพราะผมเองก็เดินกับลูกสาวอายุ 8 ขวบได้ ไม่ลำบากอะไร  เส้นทางที่อยากแนะนำคือ เริ่มจากตรงกลางเมือง เราจอดรถไว้บริเวณหน้าวัดสวนแก้วอุทยานน้อย แล้วเดินขึ้นเขาพนมเพลิงเดินต่อไปตามสันเขาไปวัดสุวรรณคีรี แล้วก็ลงเขา ผ่านวัดช้างล้อม วัดเจดีย์เจ็ดแถว ... เรื่อยมาจนถึงวัดนางพญา แล้วเดินย้อนกลับมา ผ่านศาลหลักเมือง ผ่านพื้นที่ที่คาดว่าเป็นพระราชวัง แล้วก็มาจบที่วัดสวนแก้วอุทยานน้อย ... ครบเป็นวงกลมพอดี
( ̄~ ̄)

เขาพนมเพลิง มีทางขึ้น 2 ทาง ทางแรกจากตีนเขาด้านแก่งเหลวง ซึ่งไกลหน่อย ไม่ชัน และมีบันไดศิลาแลง หรือจะขึ้นตรงกลางเลยก็ได้ ใกล้แต่ชันพอสมควร  บนเขาเป็นวัดพนมเพลิง มีเจดีย์และวิหารอยู่ด้านหน้า ด้านหลังเป็นมณฑป ชาวบ้านเรียกว่า "ศาลเจ้าแม่ละอองสำลี" คาดว่า แต่เดิมคงเป็นศาสนสถานของพราหมณ์ เพราะเคยมีคนพบเทวรูป 4 องค์ แต่สูญหายไปหมดแล้ว

ศาลเจ้าแม่ละอองสำลี มีชุดไทยเป็นเครื่องเซ่น น่ากลัวพิลึก

จากเขาพนมเพลิงมีทางเดินต่อไปยัง เขาสุวรรณคีรี เขานี้สูงกว่านิดหน่อย มีเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่สภาพสมบูรณ์ ที่ก้านฉัตรมีปูนปั้นรูปพระสาวกเดินทักษิณาวัตรเหมือนกับที่ฐานเจดีย์วัดมหาธาตุ รูปปูนปั้นแบบนี้ พบได้เฉพาะที่นี่กับที่เจดีย์วัดช้างล้อมเท่านั้น (น่าจะสร้างสมัยเดียวกัน)

วัดสุวรรณคีรี
ปูนปั้นรูปพระลีลาที่ก้านฉัตรเจดีย์

บนยอดเขาสุวรรณคีรีเป็นจุดที่สามารถชมเมืองศรีสัชนาลัยได้ทั้งเมือง

ทุ่งเจดีย์ศรีสัชนาลัย มองจากยอดเขาสุวรรณคีรี

ทางลงเขามี 2 ทาง ถ้าเดินทะลุหลังวัดสุวรรณคีรีไป จะเจอแนวกำแพงเมืองและถนน ด้านนอกคือเทือกเขาด้านทิศตะวันตก เป็นเขตอรัญญิก (วัดป่า) มีวัดตั้งเรียงกันอยู่บนสันเขา น่าสนใจดี แต่ผมไม่เห็นทางเดินไปและค่อนข้างเปลี่ยว จากแผนที่ ถ้าอยากไปจริง ก็คงต้องอ้อมไปใช้ทางหลวงหมายเลข 1201  ... ฉะนั้นทางลงอีกทางง่ายกว่า คือย้อนกลับไปทางเขาพนมเพลิง ตรงกลางระหว่างเขาทั้งสองลูกจะมีทางลงลาดๆ เดินสบาย เดินมาหน่อยก็จะเจอวัดช้างล้อมพอดี

แต่ก่อนถึงวัดช้างล้อม มีโบราณสถานน่าสนใจอยู่อีกแห่งหนึ่ง ไม่มีชื่อเรียกเป็นรหัสว่า "บน.11" คาดว่าเป็นวันแรกเริ่มก่อนจะสร้างวัดช้างล้อม มีภาพปูนปั้นแบบทวาราวดีเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็ไม่มีใครดูออกว่าเป็นเรื่องอะไร แปลกดี

ลายปูนปั้นเป็นเรื่องราวที่โบราณสถานร้าง บน. 11

วัดช้างล้อมตั้งอยู่กึ่งกลางเมืองศรีสัชนาลัยพอดี  ถ้าวัดมหาธาตุเป็นเหมือนหัวใจของสุโขทัย วัดช้างล้อมนี้ก็เป็นหัวใจชองศรีสัชนาลัยเช่นเดียวกัน ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ระบุว่า พ่อขุนรามคำแหงเป็นคนสร้าง  แต่จากการสำรวจ พบว่าวัดนี้ได้ระบการบูรณปฏิสังขรณ์ต่อกันมาหลายสมัย พบร่องรอยการปรับแต่งฐานเดิมของเจดีย์ จากฐานปัทม์ (ฐานที่เป็นบัวคว่ำบัวหงาย) เป็นหน้ากระดานเรียบๆ และเพิ่มช้างปูนปั้นตัวใหญ่มายืนล้อมไว้ ที่ฐานรากของเจดีย์ก็พบเครื่องถ้วยกระเบื้องจีน สมัยราชวงศ์หยวน ซึ่งอยู่หลังสมัยพ่อขุนรามคำแหงนับร้อยปี แสดงว่าเจดีย์นี้สร้างหรือ "บูรณะ" สมัยอยุธยาตอนต้น

วัดช้างล้อม
ช้างปูนปั้นแบบลอยตัว ที่ล้อมเจดีย์ไว้ ตัวที่อยู่ตรงมุมจะใหญ่กว่าตัวอื่น ขนาดเท่าๆ กับช้างจริง
พระพุทธรูปที่อยู่ในซุ้มรอบเจดีย์
ตุ๊กตานางรำน่ารักดี
วัดช้างล้อมฝีมือลูกสาว ช้างขึงขังน่าดู อิอิ

แต่ถึงองค์เจดีย์ที่เห็นจะเป็นของใหม่ (น่าจะเป็นสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ) แต่ขุดลึกลงไปอีกก็พบโครงกระดูกพร้อมกับภาชนะดินเผาตามธรรมเนียมการฝังศพสมัยโบราณ (สมัยที่ยังนับถือผี) และบนโครงกระดูกยังพบรอยหลุมเสาขนาดใหญ่ แสดงว่าบริเวณนี้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่โบราณและอาจมีการสร้างอาคารไม้ก่อนจะปรับให้เป็นเจดีย์ในสมัยหลัง (ปัจจุบันโครงกระดูกนี้ จัดแสดงไว้ที่ ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวฯ ที่ด้านหลังอุทยานฯ)

ด้านหน้าวัดช้างล้อมเป็นวัดเจดีย์เจ็ดแถว วัดนี้เป็นวัดที่สวยงามวัดหนึ่งในศรีสัชนาลัย นอกจากเจดีย์ประธานทรงดอกบัวตูมแล้วยังมีเจดีย์รายมากมายถึง 33 องค์  แต่เดิมเชื่อว่าเป็นที่เก็บอัฐิของราชวงศ์ คล้ายกับที่วัดมหาธาตุสุโขทัย  แต่เนื่องจากแผนผังของวัดเป็นระเบียบแบบแผนสมดุลย์ ทำให้มีคนเชื่อว่าเจดีย์ทั้งหมดน่าจะสร้างพร้อมๆกันในสมัยพระยาลิไท

วัดเจดีย์เจ็ดแถว
สำหรับผม ข้อสันนิษฐานทั้ง 2 ข้อนี้ค่อนข้างสับสน ตัดสินยากว่าอันไหนถูก อันไหนผิด เพราะโดยทั่วไปเจดีย์ในวัดก็มีไว้เก็บอัฐิอยู่แล้ว และเราก็คงไปกำหนดแผนผังของสุสานไม่ได้ ... แต่ถ้าจะประณีประนอม อาจ "จินตนาการ" ได้ว่า "ในโอกาสที่พระยาลิไทจะขึ้นครองราช ดำริจะสร้างวัดนี้เพื่อเป็นพระราชกุศล ประกาศให้ มเหสี สนม และเชื้อพระวงศ์ (ที่มาจากหลายเมือง) มาร่วมกันทำบุญครั้งนี้โดยสร้างเจดีย์ราย (ประจำตระกูล) ทั้ง 33 องค์ และเมื่อถึงยุคพระศรีอารย์จะได้เกิดใหม่พร้อมกัน ... อะไรประมาณนี้" ส่วนในเจดีย์จะมีอัฐินั้น ก็เป็นไปได้ ... สร้างไว้ก่อนแล้วพอตายก็ค่อยเอาอัฐิมาเก็บไว้ตอนหลังก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ถึงจะดูสับสนงงๆ  แต่วัดนี้ก็น่าสนใจสำหรับคนที่สนใจสถาปัตยกรรมไทยสมัยสุโขทัย เพราะเป็นที่รวบรวมเจดีย์ไว้เยอะที่สุด รูปแบบก็หลากหลายเห็นถึงอิทธิพลจากทั้ง ลังกา, ล้านนา, พม่า, เขมร (ละโว้) ฯลฯ

เจดีย์รายรอบๆเจดีย๋ประธานวัดเจดีย์เจ็ดแถว
บางองค์มีร่องรอยของจิตรกรรม
เจดีย์ทรงปราสาทยอดระฆ้ง
หน้าบันลายฝักเพกาที่นิยมในล้านนาและพม่า
เจดีย์ทรงแปลก คล้ายๆ ปราสาทเขมร

ถัดมาเป็นวัดสวนแก้วอุทยานใหญ่ วัดนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ มีเจดีย์ประธานทรงกลมแบบลังกาแต่แปลกหน่อยที่อยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส (ฐานของเจดีย์ทรงดอกบัวตูม) แล้วก็ สมัยที่ผมมาทัศนศึกษา ผมเจอ "งูเห่า" ที่นี่ ... อึ่ย อ๊าค!!...
ヽ(゚Д゚)ノ

เจดีย์ทรงประหลาดที่วัดสวนแก้วอุทยานใหญ่

ถัดมาเป็นวัดนางพญา วัดนี้เป็นวัดใหม่สุด ดูได้จากรูปแบบศิลปกรรมที่เป็นแบบอยุธยาตอนต้น เจดีย์ประธานคล้ายเจดีย์ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ที่อยุธยา สิ่งที่น่าสนใจคือที่ผนังที่เหลืออยู่ของวิหารมีลายปูนปั้นลายพันธ์พฤกษาที่สวยงามที่สุดในประเทศไทย

ลายปูนปั้นพันธุ์พฤกษา ที่วัดนางพญา
รายละเอียดที่สวยงาม
เจดีย์ประธานกับลายปูนปั้นที่วัดนางพญา ผีมือมะนาว

พอออกจากวัดนางพญา มีถนนให้เดินย้อนกลับไปตรงกลางอุทยานฯ เดินมาหน่อยด้านขวามือเป็นศาลหลักเมือง เป็นปราสาทแบบเขมร

ศาลหลักเมือง

หลังศาลหลักเมืองเป็นเนินโล่งๆ สันนิษฐานเป็นที่ตั้งของพระราชวัง

บริเวณที่สันนิษฐานว่าเป็นพระราชวัง

ถัดมาเป็นวัดสวนแก้วอุทยานน้อย เป็นวัดขนาดย่อมๆ แต่น่าจะมีความสำคัญ เพราะเจดีย์ประธานมีเจดีย์บริวารถึง 13 องค์ แล้วยังอยู่ติดวัง น่าจะเป็นวัดหลวงเหมือนกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ที่อยุธยา และวัดพระแก้วที่กรุงเทพฯ

มณฑปวัดสวนแก้วอุทยานน้อย
พอหมดวัดสวนแก้วอุทยานน้อย ก็เดินมาถึงรถพอดี ... พระอาทิตย์ก็ตรงหัวพอดี ... หิวพอดี ผมจึงขอจบตอนนี้ไว้แค่นี้ เขาลือกันว่าแถวนี้มีร้านอร่อย ห้ามพลาด ... ขอตัวนะครับ
Share: